วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จัก หมอพื้นบ้านกัน

มารู้จัก หมอพื้นบ้านกัน

1.หมอยาฮากไม้
เป็นหมอที่ใช้วิธีการรักษาด้วยสมุนไพร แร่ธาตุบางชนิด และเขี้ยวสัตว์ หรือส่วนต่างๆ ของสัตว์บางชนิด โรคส่วนใหญ่ที่รักษาได้แก่ โรคเลือด วิน (อาการปวดศีรษะ) และอาการผิดปกติของหญิงแม่ลูกอ่อนหลังอยู่ไฟ

2.หมอเป่า
มีวิธีการรักษาด้วยการเป่าต่างๆกันไป ส่วนประกอบที่ใช้และพบบ่อย คือ ปูนกินหมาก เคี้ยวกระทียมแล้วเป่า เคี้ยวหมากเป่า เคี้ยวใบไม้บางชนิดเป่า เป็นต้น โรคที่รักษา ได้แก่ ถ้าเลิดเด็กน้อย ปวดศีรษะ โรคผิวหนังบางชนิด (งูสวัด) เป็นต้น การที่หมอเป่าจะรักษาหายหรือไม่หายนั้น หมอเป่าเชื่อว่าเป็นเรื่องของการทำบุญร่วมกันมาในชาติก่อนของหมอกับผู้ป่วย

3. หมอน้ำมนต์
เป็นการรักษาโดยการทำน้ำมนตร์และพรมไปตามส่วนที่บาดเจ็บ เช่น กระดูกเคลื่อน หัก อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุต่างๆ เช่น รถชน ตกต้นไม้ เป็นต้น

4. หมอเอ็น
เป็นการรักษาโดยใช้หัวแม่มือ และนิ้วชี้ สำหรับจับเอ็นที่เคล็ดขัดยอกหรือกระดูกเคลื่อน

5. หมอพระ
เป็นพระที่หน้าที่รักษาโรค ได้แก่ อาการปวดหัว ปวดท้อง อารมณ์เสียบ่อย ๆ เป็นลมง่าย มีอาการชาตามตัว รักษาโดยการประพรมน้ำมนตร์ หรืออาบน้ำมนตร์ผูกแขนให้ และให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และให้สวดมนต์ก่อนนอน ผู้ป่วยที่มามักเป็นผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลแล้วหมอตรวจโรคไม่พบ ซึ่งหมอพระเชื่อว่า อาการต่าง ๆ เหล่านี้ มีสาเหตุมาจากผี หรือ ผีเฮ็ด (ผีทำ) ปัจจุบันหมอพระมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ

6. หมอลำผีทรง (หมอลำผีฟ้า)
ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงรักษาผู้ป่วยโดยการรำและมีแคนประกอบ ส่วนประกอบสำคัญในพิธีกรรม คือ พาคาย หรือถาดใส่แป้งกระแป้ง กระจกส่องหน้าเล็กๆ หรือน้ำมันใส่ผม หมอแคนเป่าเพลง วิธีการทำโดยหมอลำส่องกระจก และเจรจาโต้ถามกับผี จนในที่สุดผู้ป่วยลุกขึ้นฟ้อน แสดงว่าผีที่เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยพอใจ และผู้ป่วยจะหายในที่สุด หมอลำชนิดนี้รักษาผู้ป่วยได้เพราะมีผีเข้ามาเทียบ จะเรียกชื่อตามผีนั้นๆ เช่น หมอลำผีทรง หมอลำผีฟ้า (ที่มาของผีทรง ละผีฟ้าแตกต่างกัน หมอลำผีฟ้ามาจากที่สูงกว่า จากชั้น 9 แต่ผีทรงมาจากชั้น 5) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเลือกหมดลำผีทรง (ผีฟ้า) เป็นการรักษาหลังสุด หลังจากที่หมอรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้ว

7.หมอธรรม
ส่วนใหญ่จะเรียนวิชามาจากวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่บวชเรียน บางครั้งหมอธรรมถูเรียกว่า หมอผี เนื่องจากหมอธรรมรักษาผู้ป่วยอันมาจากผี เช่น ผีปอบ หมอธรรมรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีนั่งธรรม เพื่อหาสาเหตุว่า "ใคร" เป็นสาตุของความเจ็บป่วย เช่น ผีต่างๆ หรือ การละเมิดกฏเกณฑ์ของครอบครัวหรือชุมชน และจะดำเนินการรักษาไปตามสาเหตุนั้น ถ้าเป็นผีปอบ หมอธรรมมักจะใช้ไม้เท้าอันเล็กๆ หรือกาบกล้วยว่าคาถาแล้วตีไปที่ผู้ป่วยเพื่อไล่ให้ผีออก หรือใช้วิธีสวดธรรมในกรณีที่ผู้ป่วยถูกผี (ผีป่าผีเชื้อ) มากลั่นแกล้ง จบลงด้วยการสู่ขวัญ และอาบน้ำมนตร์ให้ผู้ป่วย ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้ว กับหมอธรรมจะเป็นลักษณะของ "พ่อเลี้ยงกัลป์ปบลูกเลี้ยง" คือจะต้องระลึกถึงหมอธรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะวันพระจะต้องนำดอกไม้สีขาวบูชาบนหิ้งของบ้านของผู้ป่วย ส่วนวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาจะต้องไปแสดงมุทิตาจิตต่อหมอธรรม ผูกข้อมือเพื่อความสุขสวัสดี ผู้ป่วยที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้อาจจะล้มป่วยเอง และชาวบ้านเรียกว่าป่วยเนื่องจาก "ผิดของรักษา" ในสายตาของชาวบ้านแล้วหมอธรรมอยู่ในฐานะสูงกว่าหมอลำผีฟ้า เพราะหมอธรรมใช้ธรรมรักษา ส่วนหมอลำผีทรงใช้ผีซึ่งอยู่ในฐานะต่ำกว่าธรรม

8. หมอพร หรือหมอสู่ขวัญ
หรือหมอพรม (พราหมณ์) หมอสู่ขวัญหรือหมอพรถ้ามีความรู้ทางโหราศาสตร์ และดูฤกษ์ยามตลอดจนประกอบพิธีขึ้นบ้านใหม่ ทำพิธีก่อนลงเสาแฮก เสาขวัญ เรียกว่าพรม ชาวบ้านเชื่อว่าสาเหตุของความเจ็บป่วยประการหนึ่งคือ การที่ขวัญหนีคิง (ขวัญหนีออกจากร่าง) การที่จะให้มีร่างกายสู่สภาวะปกติจึงต้องเรียกให้ขวัญกลับเข้ามาอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย การสู่ขวัญจึงเป็นการรักษา (curative medicine) การสู่ขวัญเพื่อให้ขวัญ "แข็งแรง" และเบิกบานเป็นการป้องกัน (preventive medicine) ได้แก่ การสู่ขวัญต้อนรับผู้มาเยือน การสู่ขวัญแม่มาน (หญิงมีครรภ์ก่อนคลอด) การสู่ขวัญนาค การสู่ขวัญพระก่อนเข้าพรรษา เป็นต้น เครื่องหมายที่แสดงว่าขวัญกลับเข้าอยู่ในร่างกาย คือการผูกแขนด้วยฝ้าย ตามสำนวนที่ว่า ผูกเบื้องซ้ายขวัญมา ผูกเบื้องขวาขวัญอยู่

9. หมอตำแย
ที่เป็นผู้หญิงและผู้ชายสามารถปฏิบัติงานได้แตกต่างกันคือหมอตำแยผู้หญิงจะทำหน้าที่เฉพาะการทำคลอด และการทำความสะอาดเด็กเท่านั้น ส่วนขั้นตอนต่อไปคือพิธีกรรมการเอาแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟนั้นเป็หน้าที่ของหมอเป่า หรือกรณีคลอดยากอาจต้องให้หมอเป่าทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์ดื่มเรียกว่าสะเดาะ แต่หมอตำแยผู้ชายสามารถทำได้ทุกขั้นตอนคือตั้งแต่การทำคลอด การทำความสะอาดเด็ก จนกระทั่งถึงพิธีกรรมการเอาแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟ
การอยู่กรรม หรือ การอยู่ไฟ
ชาวอีสานเมื่อหญิงมีการคลอดบุตร หลังการคลอดจะมีการ “อยู่ไฟ“ หรือเรียกว่า "อยู่กรรม" การอยู่ไฟ เชื่อว่าสามารถทำให้แม่ลูกอ่อนมีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณดี มดลูกเข้าอู่เร็ว ซึ่งจะมีพิธีกรรมตามความเชื่อประกอบกับเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ในการดำเนินชีวิตให้กับแม่ลูกอ่อนและญาติพี่น้อง หญิงอยู่ไฟ จะต้องมีการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดมีข้อห้ามในการปฏิบัติมากมาย โดยเฉพาะเรื่องอาหาร คนอยู่ไฟถูกห้ามเรื่องอาหารแทบทุกชนิด เพราะกลัวจะกินอาหารที่เป็นของแสลงเข้าไป การห้ามกินของแสลงเรียกว่า “คะลำ” เช่น กินนก กินหนู จะเรียกว่าคะลำนกคะลำหนู
ลักษณะการอยู่ไฟคือจะให้แม่ลูกอ่อนนั่งที่สะแนน (ที่นั่งที่ทำขึ้นโดยเฉพาะมีลักษณะคล้ายแคร่) โดยจะมีคงไฟอยู่ข้างๆเพื่อให้ความร้อนแก่แม่ลูกอ่อนที่อยู่ไฟ ระยะเวลาอยู่ไฟจะมีตั้งแต่ 7 วัน ถึง 1 เดือน แล้วแต่ใครจะมีความสามารถปฏิบัติได้ขั้นตอนการอยู่ไฟ
1. แม่ลูกอ่อนจะอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายแต่งกายโดยนุ่งผ้าถุงผืนเดียวใช้ผ้าพันอก
2. หมอพื้นบ้านจะทำพิธีผาบไฟ (พิธีป้องกันพิษไฟ พิษความร้อน) จะทำพิธีกินผีกินปอบไปพร้อมๆกัน
3. เข้านั่งในเรือนกรรม คือ นั่งบนสะแนน ซึ่งบริเวณที่ใช้อยู่ไฟเรียกว่าเรือนกรรม
4. เมื่อครบกำหนด 7 – 30 วันจะออกไฟ คือ ออกจากอยู่ไฟหมอพื้นบ้านก็จะทำพิธี
"เสียพิษไฟ" คือ การทำพิธีถอนพิษไฟ ปละจะตัดหางใบตองกล้วย ปิดฝาหม้อกรรม ( หม้อที่ต้มน้ำสมุนไพรเพื่อดื่มและอาบ ) แล้วคว่ำหม้อ เป็นสัญลักษณ์ถือว่า หมดกรรม การอยู่กรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว

สมุนไพรที่ใช้ดื่มและอาบ
จะนิยมใช้แก่นมะขามต้มอาบ และใช้ต้นนมสาว เครือฮวงสุ่ม แก่นมะเฟืองส้ม ต้มสำหรับดื่มโดยเชื่อว่า แก่นขาม บำรุงหัวใจ นมสาว บำรุงน้ำนม รักษามดลูก และแก้ของแสลง ฮวงสุ่ม บำรุงเลือด แก่นมะเฟือง ขับเลือดเสีย บำรุงเลือด ทำให้เลือดลมดี
เมื่อเด็กคลอดจะทำพิธีพอกพาย พอกกำเริด เพื่อป้องกันผีกับคุณไสยต่างๆ และจะมีคำพูดว่า "นกเข้าฮ้องกุกกรู กุกกรู ถ้าแม่นลูกสูให้เกาไปมื้อนี้วันนี้ กายมื้อนี้ วันหน้า แม่นลูกกู จ๊ะจ๊ะ" ถ้าเด็กไม่ร้องก็จะตบกกก้นให้เด็กร้อง
การนอนของเด็ก จะนำกระด้งมาคว่ำลงใช้ผ้าปูนิ่มๆ นำเด็กนอน โดยจัดที่จัดทางให้สวยงาม คือ อย่าให้คอเอียง แขนขาพับ ใช้ผ้าอ้อมรองข้างๆ เด็ก เพื่อกันเด็กพลิกตัวผิดท่าผิดทาง อาจเกิดอันตรายได้ และรูปร่างไม่สวยสมบูรณ์

10. พิธีการโจลมะม็วด
เป็นภูมิปัญญาในการรักษาสุขภาพจิตชุมชนของชาวเขมรในจังหวัดสุรินทร์ เช่นเดียวกับการลำผีฟ้า แต่โจลมะม็วดจะมีเรื่องเทพ และฤทธิ์เดชเช้ามาเกี่ยวข้องมากกว่า
คำว่า "มะม็วด" เป็นภาษาเขมรแปลว่า แม่มดหรือว่าร่างทรง เป็นบุคคลที่สามารถให้เทวดามาทรงได้ โดยมากเป็นชาวบ้าน ทำมาหากกินตามปกติต่อมามีอาการป่วย เช่นชักกระตุกแล้วสลบไป พูดจาสับสน เพ้อๆ ฝันๆ เพี้ยนไปจากปกติ เป็นๆ หายๆ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หายบางคนมีอาการนานนับปีๆ กว่าจะค้นหาสาเหตุพบว่ามีคนเข้าทรงแล้วบอกว่ามีเทวดาขออยู่ด้วย เมื่อรู้สาเหตุแล้วทำพิธีต้อนรับ โดยการนำคนทรงอื่นที่เชี่ยวชาญมาเป็นพี่เลี้ยง ให้ลองเข้าทรงดู เมื่อเข้าทรงได้ก็จัดสักการะบูชาตามที่แม่มดบอก อาการเจ็บป่วยก็ทุเลาและหายไปเองในที่สุด คนที่เป็นร่างททรงของแม่มดทุกๆ ปี บางคนมีความสามารถทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ได้แม่นยำ รักษาโรคเก่ง

พิธีกรรมโจลมะม็วด จะต้องเลือกวัน มักเลือกวันพฤหัสบดีและวันอังคาร ถือว่าเป็นวันครู และไม่เล่นในวัน 15 ค่ำทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เนื่องจากอัคคนิโรธที่เทพารักษ์ การเริ่มทำพิธี เริ่มแรก แม่มดระดับครูจะเข้าสู่ที่นั่งเริ่มเข้าทรง ดนตรี คือกันตรึมเริ่มบรรเลง สักครู่หนึ่ง "ครู" ประจำตัวของแม่มดหัวหน้าก็เข้าประทับทรง พูดจา แต่งเนื้อแต่งตัวแล้วเรียกพรายของบรรดาเจ้าภาพเข้ามาประทับทรงเพื่อผนึกกำลังในตัวแม่มดคนเดียว แต่งกายทะมัดทะแมงถือดาบร่ายรำแล้วออกไปข้างนิกปะรำไปรำดาบทำท่ารบพุ่งกับภูติผี จะมีผู้คอยถามถึงสาเหตุที่มาทำให้คนไข้เจ็บป่วย แม่มดจะตอบถึงสาเหตุนั้นๆ เช่น เพราะไม่ทำที่ให้อยู่หรือโกรธที่พวกมึงผิดพ้องหมองใจกันในหมู่ญาติพี่น้องกันเอง แม่มดบังคับให้คืนดีกันเสีย คนถามจะถามว่าต้องการอะไร แม่มดก็จะบอกว่าต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ เสื้อผ้าอาหาร หรือของเล่นต่างๆ ในที่สุดก็บอกว่าให้ร่ายรำเล่นเถอะมาแล้วก็ต้องสนุกสนานเถอะ แม่มดก็แต่งกายและรำเล่น สมัยก่อนมีการสวมเล็บที่ทำด้วยเงินยาวๆ แบบระบำฟ้อนเล็บรำสวยงาม ในที่สุดท้ายก็จะร่วมฟ้อนรำโดยดนตรีบรรเลง เมื่อสิ้นสุดเพลงสุดท้ายแล้ว พวกเทพก็พากันออกจากร่าง โดยจับขันหมุนแล้วออกไป เป็นอันเสร็จพิธี

ที่มา : ภาพเขียนสีภายในห้องนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
 
เครดิตข้อมูลจาก Facebook : คุณปณิตา ถนอมวงษ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น